พระราชดำรัสที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง และ พระราชดำริว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียง

พระราชดำรัสที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง

พระเจ้าอยู่หัว.เศรษฐกิจพอเพียง.4 ธันวาคม 2541 พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ 4 ธันวาคม 2541 เนื่องในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา 5 ธันวาคม 2541 โดยมี ฯพณฯนายกรัฐมนตรีชวน หลีกภัย เป็นผู้กราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายเรื่อ­ง”เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นเรื่องสำคัญ พระองค์ทรงต้องมีพระราชดำรัสซ้ำย้ำอีกครั้­งในปีนี้ เพราะที่ทรงอธิบายไปแล้วปีก่อนหน้านั้นก็ย­ังไม่เข้าใจถ่องแท้ พระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงครั้งแรก­เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2517 ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ :
ที่มา : https://youtu.be/9nwzI6B7y3s
สืบค้นเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2563

พระราชดำรัสที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง

  “…เศรษฐศาสตร์เป็นวิชาของเศรษฐกิจ การที่ต้องใช้รถไถต้องไปซื้อ เราต้องใช้ต้องหาเงินมาสำหรับซื้อน้ำมันสำหรับรถไถ เวลารถไถเก่าเราต้องยิ่งซ่อมแซม แต่เวลาใช้นั้นเราก็ต้องป้อนน้ำมันให้เป็นอาหาร เสร็จแล้วมันคายควัน ควันเราสูดเข้าไปแล้วก็ปวดหัว ส่วนควายเวลาเราใช้เราก็ต้องป้อนอาหาร ต้องให้หญ้าให้อาหารมันกิน แต่ว่ามันคายออกมา ที่มันคายออกมาก็เป็นปุ๋ย แล้วก็ใช้ได้สำหรับให้ที่ดินของเราไม่เสีย…”
พระราชดำรัส เนื่องในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ 
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๒๙

“…เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย เรามีพอสมควร พออยู่ได้ แต่ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมากก็จะมีแต่ถอยกลับ ประเทศเหล่านั้นที่เป็นประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้า จะมีแต่ถอยหลังและถอยหลังอย่างน่ากลัว แต่ถ้าเรามีการบริหารแบบเรียกว่าแบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละคือเมตตากัน

จะอยู่ได้ตลอดไป…”
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๔

“…ตามปกติคนเราชอบดูสถานการณ์ในทางดี ที่เขาเรียกว่าเล็งผลเลิศ ก็เห็นว่าประเทศไทย เรานี่ก้าวหน้าดี การเงินการอุตสาหกรรมการค้าดี มีกำไร อีกทางหนึ่งก็ต้องบอกว่าเรากำลังเสื่อมลงไปส่วนใหญ่ ทฤษฎีว่า ถ้ามีเงินเท่านั้นๆ มีการกู้เท่านั้นๆ หมายความว่าเศรษฐกิจก้าวหน้า แล้วก็ประเทศก็เจริญมีหวังว่าจะเป็นมหาอำนาจ ขอโทษเลยต้องเตือนเขาว่า จริงตัวเลขดี แต่ว่าถ้าเราไม่ระมัดระวังในความต้องการพื้นฐานของประชาชนนั้นไม่มีทาง…”
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา

ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๖

“…เดี๋ยวนี้ประเทศไทยก็ยังอยู่ดีพอสมควร ใช้คำว่า พอสมควร เพราะเดี๋ยวมีคนเห็นว่ามีคนจน คนเดือดร้อน จำนวนมากพอสมควร แต่ใช้คำว่า พอสมควรนี้ หมายความว่าตามอัตตภาพ…”
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๙

“…ที่เป็นห่วงนั้น เพราะแม้ในเวลา ๒ ปี ที่เป็นปีกาญจนาภิเษกก็ได้เห็นสิ่งที่ทำให้เห็นได้ว่า ประชาชนยังมีความเดือดร้อนมาก และมีสิ่งที่ควรจะแก้ไขและดำเนินการต่อไปทุกด้าน มีภัยจากธรรมชาติกระหน่ำ ภัยธรรมชาตินี้เราคงสามารถที่จะบรรเทาได้หรือแก้ไขได้ เพียงแต่ว่าต้องใช้เวลาพอใช้ มีภัยที่มาจากจิตใจของคน ซึ่งก็แก้ไขได้เหมือนกัน แต่ว่ายากกว่าภัยธรรมชาติ ธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งนอกกายเรา แต่นิสัยใจคอของคนเป็นสิ่งที่อยู่ข้างใน อันนี้ก็เป็นข้อหนึ่งที่อยากให้จัดการให้มีความเรียบร้อย แต่ก็ไม่หมดหวัง…”
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๙

“…การจะเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกินนั้น หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตนเอง ความพอเพียงนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกครอบครัวจะต้องผลิตอาหารของตัวเอง จะต้องทอผ้าใส่เอง อย่างนั้นมันเกินไป แต่ว่าในหมู่บ้านหรือในอำเภอ จะต้องมีความพอเพียงพอสมควร บางสิ่งบางอย่างผลิตได้มากกว่าความต้องการก็ขายได้ แต่ขายในที่ไม่ห่างไกลเท่าไร ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก…”
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๙.

“…เมื่อปี ๒๕๑๗ วันนั้นได้พูดถึงว่า เราควรปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมีพอกินนี้ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนมีพอมีพอกิน ก็ใช้ได้ ยิ่งถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดี และประเทศไทยเวลานั้นก็เริ่มจะเป็นไม่พอมีพอกิน บางคนก็มีมาก บางคนก็ไม่มีเลย…”
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๑

“…พอเพียง มีความหมายกว้างขวางยิ่งกว่านี้อีก คือคำว่าพอ ก็พอเพียงนี้ก็พอแค่นั้นเอง คนเราถ้าพอในความต้องการก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าประเทศใดมีความคิดอันนี้ มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ซื่อตรง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข พอเพียงนี้อาจจะมี มีมากอาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น…” 
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๑

“…ไฟดับถ้ามีความจำเป็น หากมีเศรษฐกิจพอเพียงแบบไม่เต็มที่ เรามีเครื่องปั่นไฟก็ใช้ปั่นไฟ หรือถ้าขั้นโบราณกว่า มืดก็จุดเทียน คือมีทางที่จะแก้ปัญหาเสมอ ฉะนั้นเศรษฐกิจพอเพียงก็มีเป็นขั้นๆ แต่จะบอกว่าเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ให้พอเพียงเฉพาะตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์นี่เป็นสิ่งทำไม่ได้ จะต้องมีการแลกเปลี่ยน ต้องมีการช่วยกัน ถ้ามีการช่วยกัน แลกเปลี่ยนกัน ก็ไม่ใช่พอเพียงแล้ว แต่ว่าพอเพียงในทฤษฎีในหลวงนี้ คือให้สามารถที่จะดำเนินงานได้…”
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๒

“…โครงการต่างๆ หรือเศรษฐกิจที่ใหญ่ ต้องมีความสอดคล้องกันดีที่ไม่ใช่เหมือนทฤษฎีใหม่ ที่ใช้ที่ดินเพียง ๑๕ ไร่ และสามารถที่จะปลูกข้าวพอกิน กิจการนี้ใหญ่กว่า แต่ก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน คนไม่เข้าใจว่ากิจการใหญ่ๆ เหมือนสร้างเขื่อนป่าสักก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน เขานึกว่าเป็นเศรษฐกิจสมัยใหม่ เป็นเศรษฐกิจที่ห่างไกลจากเศรษฐกิจพอเพียง แต่ที่จริงแล้ว เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน…”
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๒

“…ฉันพูดเศรษฐกิจพอเพียงความหมายคือ ทำอะไรให้เหมาะสมกับฐานะของตัวเอง คือทำจากรายได้ ๒๐๐-๓๐๐ บาท ขึ้นไปเป็นสองหมื่น สามหมื่นบาท คนชอบเอาคำพูดของฉัน เศรษฐกิจพอเพียงไปพูดกันเลอะเทอะ เศรษฐกิจพอเพียง คือทำเป็น Self-Sufficiency มันไม่ใช่ความหมายไม่ใช่แบบที่ฉันคิด ที่ฉันคิดคือเป็น Self-Sufficiency of Economy เช่น ถ้าเขาต้องการดูทีวี ก็ควรให้เขามีดู ไม่ใช่ไปจำกัดเขาไม่ให้ซื้อทีวีดู เขาต้องการดูเพื่อความสนุกสนาน ในหมู่บ้านไกลๆ ที่ฉันไป เขามีทีวีดูแต่ใช้แบตเตอรี่ เขาไม่มีไฟฟ้า แต่ถ้า Sufficiency นั้น มีทีวีเขาฟุ่มเฟือย เปรียบเสมือนคนไม่มีสตางค์ไปตัดสูทใส่ และยังใส่เนคไทเวอร์ซาเช่ อันนี้ก็เกินไป…” 
พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล 
๑๗ มกราคม ๒๕๔๔

ที่มา:https://sites.google.com/site/prachyasersthkicphxpheiyng12/-site-prachyasersthkicphxpheiyng12

สืบค้นเมื่อ 17 มกราคม 2563

พระราชดำริว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียง

ที่มา:https://sites.google.com/site/prachyasersthkicphxpheiyng12/-site-prachyasersthkicphxpheiyng12
สืบค้นเมื่อ 17 มกราคม 2563

พระราชดำริว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียง

“…การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป…” (๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๗) 
“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานมานานกว่า ๓๐ ปี เป็นแนวคิดที่ตั้งอยู่บนรากฐานของวัฒนธรรมไทย เป็นแนวทางการพัฒนาที่ตั้งบนพื้นฐานของทางสายกลาง และความไม่ประมาท คำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันในตัวเอง ตลอดจนใช้ความรู้และคุณธรรม เป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ที่สำคัญจะต้องมี “สติ ปัญญา และความเพียร” ซึ่งจะนำไปสู่ “ความสุข” ในการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง
“…คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา จะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งที่สมัยใหม่ แต่เราอยู่พอมีพอกิน และขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทย พออยู่พอกิน มีความสงบ และทำงานตั้งจิตอธิษฐานตั้งปณิธาน ในทางนี้ที่จะให้เมืองไทยอยู่แบบพออยู่พอกิน ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรืองอย่างยอด แต่ว่ามีความพออยู่พอกิน มีความสงบ เปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ถ้าเรารักษาความพออยู่พอกินนี้ได้ เราก็จะยอดยิ่งยวดได้…” (๔ ธันวาคม ๒๕๑๗)
พระบรมราโชวาทนี้ ทรงเห็นว่าแนวทางการพัฒนาที่เน้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นหลักแต่ เพียงอย่างเดียวอาจจะเกิดปัญหาได้ จึงทรงเน้นการมีพอกินพอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่ในเบื้องต้นก่อน เมื่อมีพื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควรแล้ว จึงสร้างความเจริญและฐานะทางเศรษฐกิจให้สูงขึ้น 
ซึ่งหมายถึง แทนที่จะเน้นการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมนำการพัฒนาประเทศ ควรที่จะสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจพื้นฐานก่อน นั่นคือ ทำให้ประชาชนในชนบทส่วนใหญ่พอมีพอกินก่อน เป็นแนวทางการพัฒนาที่เน้นการกระจายรายได้ เพื่อสร้างพื้นฐานและความมั่นงคงทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ก่อนเน้นการพัฒนาในระดับสูงขึ้นไป 
ทรงเตือนเรื่องพออยู่พอกิน ตั้งแต่ปี ๒๕๑๗ คือ เมื่อ ๓๐ กว่าปีที่แล้ว 
แต่ทิศทางการพัฒนามิได้เปลี่ยนแปลง 
“…เมื่อปี ๒๕๑๗ วันนั้นได้พูดถึงว่า เราควรปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมีพอกินนี้ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนมีพอมีพอกิน ก็ใช้ได้ ยิ่งถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดี และประเทศไทยเวลานั้นก็เริ่มจะเป็นไม่พอมีพอกิน บางคนก็มีมาก บางคนก็ไม่มีเลย…” (๔ ธันวาคม ๒๕๔๑)

การดำเนินชีวิตตามแนวพระราชดำริพอเพียง 
                พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเข้าใจถึงสภาพสังคมไทย ดังนั้น เมื่อได้พระราชทานแนวพระราชดำริ หรือพระบรมราโชวาทในด้านต่างๆ จะทรงคำนึงถึงวิถีชีวิต สภาพสังคมของประชาชนด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งทางความคิด ที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งในทางปฏิบัติได้ 
แนวพระราชดำริในการดำเนินชีวิตแบบพอเพียง 
๑. ยึดความประหยัด ตัดทอนค่าใช้จ่ายในทุกด้าน ลดละความฟุ่มเฟือยในการใช้ชีวิต 
๒. ยึดถือการประกอบอาชีพด้วยความถูกต้อง ซื่อสัตย์สุจริต 
๓. ละเลิกการแก่งแย่งผลประโยชน์และแข่งขันกันในทางการค้าแบบต่อสู้กันอย่างรุนแรง 
๔. ไม่หยุดนิ่งที่จะหาทางให้ชีวิตหลุดพ้นจากความทุกข์ยาก ด้วยการขวนขวายใฝ่หาความรู้ให้มีรายได้เพิ่มพูนขึ้น จนถึงขั้นพอเพียงเป็นเป้าหมายสำคัญ 
๕. ปฏิบัติตนในแนวทางที่ดี ลดละสิ่งชั่ว ประพฤติตนตามหลักศาสนา

ที่มา:https://sites.google.com/site/prachyasersthkicphxpheiyng12/-site-prachyasersthkicphxpheiyng12

สืบค้นเมื่อ 17 มกราคม 2563

6 โครงการในพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

1. โครงการประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์

จากคลองลัดโพธิ์ในเขตอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ที่แรกเริ่มเดิมทีขุดขึ้นเพื่อเป็นเส้นทางลัดระหว่างลำน้ำเจ้าพระยาที่คดโค้ง เมื่อขาดการใช้งานมาเป็นเวลานานจึงมีสภาพตื้นเขิน และเมื่อถึงฤดูที่ น้ำเหนือไหลหลากหรือมีปริมาณฝนตกชุก การระบายน้ำจึงเป็นไปได้ช้า และเกิดสภาพน้ำาท่วมขังพื้นที่  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 9) มีแนวพระราชดำริปรับปรุงคลองลัดโพธิ์โดยจัดทำเป็นโครงการประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อเร่งระบายน้ำเหนือออกสู่ทะเล ช่วยบรรเทาปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ และปริมณฑล เนื่องจากคลองที่ขุดขยายเป็นการย่นระยะทางและเวลาการไหลของน้ำในบริเวณพื้นที่กระเพาะหมู ที่แต่เดิมแม่น้ำเจ้าพระยาต้องไหลอ้อมถึง 18 กิโลเมตร ก็สามารถไหลลงทะเลได้รวดเร็วขึ้น ด้วยระยะทางเพียง 600 เมตร ทั้งยังสามารถบริหารจัดการนด้วยการเปิด-ปิดประตูระบายน้ำให้เหมาะสมและสอดคล้องกับเวลาน้ำขึ้น-น้ำลง และน้ำทะเลหนุนสูง

2. โครงการพัฒนาดอยตุง 

“ฉันจะปลูกป่าดอยตุง” พระราชดำรัสของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือสมเด็จย่า ที่ในเวลาต่อมาได้ก่อตั้งเป็นโครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยพระองค์ทรงได้รับ แรงบันดาลใจจากพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 9) ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยทรงสังเกตเห็นว่าชาวไทยภูเขาส่วนใหญ่ยากจนและขาดโอกาสในการดำเนินชีวิต พระองค์จึงมีพระราชปณิธานริเริ่มทำเป็นโครงการพัฒนาแบบเบ็ดเสร็จ ภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมป์ เพื่อขยายผลการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ให้มีความรู้ มีอาชีพ สามารถเลี้ยงตัวเองได้ พร้อมกับพัฒนาสภาพแวดล้อมที่เคยเสื่อมโทรมบนดอยตุงให้กลับมีความอุดมสมบูรณ์ ด้วยการปลูกป่าและส่งเสริมให้มนุษย์อยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างมีจิตสำนึกและพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน

3. โครงการชั่งหัวมัน

บ้านไร่ของในหลวงแห่งนี้ เป็นอีกหนึ่งโครงการตามแนวพระราชดำริที่เกิดขึ้นจากความเอาพระราชหฤทัยใส่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 9) ที่ทรงมีต่อราษฎรให้สามารถนำแนวทางไปดัดแปลงใช้อย่างเหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อผืนดินของตนเอง เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน โดยทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ซื้อที่ดินจากราษฎรบริเวณใกล้อ่างเก็บน้ำหนองเสือ บ้านหนองคอไก่ อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ประมาณ 250 ไร่ ซึ่งผืนดินบริเวณนี้แห้งแล้ง ประสบปัญหาเรื่องการขาดแคลนน้ำ มีพระราชดำริให้ใช้พื้นที่ทั้งหมดจัดทำเป็นโครงการตัวอย่างแบบบูรณาการด้านการเกษตรและปศุสัตว์ ภายใต้ชื่อ “โครงการชั่งหัวมัน ตามพระราชดำริ” โดยสร้างถนน อ่างเก็บน้ำ อาคาร ติดตั้งระบบไฟฟ้า พัฒนาปรับปรุงและปรับเปลี่ยนพื้นที่ให้เป็นแปลงปลูกพืชผัก ผลไม้ และสัตว์เลี้ยง ขณะเดียวกันก็พยายามเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส โดยคาดหวังว่าอนาคตที่นี่จะกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการเกษตรที่สมบูรณ์แบบสำหรับประชาชนทั่วไป

โครงการชั่งหัวมัน 
1 ม.5 บ้านหนองคอไก่ ต.เขากระปุก อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี 76130
โทร : 0 3247 2701-2 , 0 3265 3868
เปิดทำการ : เปิดทุกวัน เวลา 08.00-16.00 น. 
ฤดูกาลท่องเที่ยว : ตลอดทั้งปี

4. ศูนย์ศึกษาพัฒนาเขาหินซ้อน

จากสภาพพื้นที่เดิมในบริเวณนี้ที่เนื้อดินเป็นทราย ขาดความอุดมสมบูรณ์ มีการชะล้างพังทลายของดินสูง  ดินรองรับน้ำได้น้อย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 9) มีแนวพระราชดำริกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ให้ร่วมกันพัฒนาพื้นที่แห่งนี้จัดตั้งเป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน อันเนื่องมาจากพระราชดำริขึ้น  โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเป็นแหล่งรวบรวม ศึกษา ทดลอง วิจัย และพัฒนาปรับปรุงพื้นที่ทางการเกษตรให้เป็นศูนย์ด้านเกษตรกรรมที่สมบูรณ์แบบด้วยวิธีการเกษตรแผนใหม่ ทั้งการพัฒนาแหล่งน้ำ ฟื้นฟูสภาพป่า การพัฒนาที่ดิน การวางแผนปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสพึ่งพาตนเองได้ อีกทั้งยังจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิตและเป็นศูนย์รวมการพัฒนาแบบเบ็ดเสร็จ ถือเป็นต้นแบบแนวทางและตัวอย่างการพัฒนาให้แก่พื้นที่อื่นได้อย่างยั่งยืน

5. ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 9) มีพระราชดำริแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี เมื่อ พ.ศ. 2524 ความว่า “…ให้พิจารณาพื้นที่เหมาะสม จัดทำโครงการพัฒนาอาชีพการประมงและการเกษตรในเขตที่ดินชายฝั่งทะเลจันทบุรี…” ต่อมาจังหวัดจันทบุรีได้ร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสม กำหนดบริเวณตำบลคลองขุด อำเภอท่าใหม่ ให้เป็นพื้นที่จัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนขึ้น เพื่อดำเนินการศึกษา สาธิต และพัฒนาที่ดินชายฝั่งทะเลอ่าวคุ้งกระเบนและพื้นที่ใกล้เคียง ด้วยการวางแผนพัฒนาจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ให้เหมาะสมและยั่งยืนอย่างมีระบบ ตั้งแต่การศึกษาทดลอง วิจัย ทดสอบ สาธิต ขยายผล และการบริหารจัดการ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาสู่ประชาชนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง เป็นศูนย์กลางในการอบรมเผยแพร่ผลการศึกษา การจัดการทรัพยากรชายฝั่ง พัฒนาด้านการประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเพื่อเพิ่มผลผลิต ตลอดจนพัฒนากิจกรรมอื่นๆ แบบบูรณาการควบคู่ไปด้วย พร้อมทั้งอนุรักษ์ฟื้นฟูและจัดการทรัพยากรชายฝั่งทะเลให้เกิดความสมดุลในระบบนิเวศ ส่งเสริมกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวในรูปแบบใหม่ที่สอดคล้องกับศักยภาพเชิงวัฒนธรรมและวิถีชุมชน เพื่อสร้างความรู้และความเข้าใจให้กับประชาชน เป็นการท่องเที่ยวเชิงพัฒนาที่นอกจากจะได้รับความเพลิดเพลินแล้ว ยังสามารถนำไปปฏิบัติตามได้ ทำให้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนได้รับรางวัลยอดเยี่ยมในปี 2543 และรางวัลดีเด่นในปี 2545 ประเภทองค์กรส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยว ในการประกวดรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

6. สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์

เป็นที่ทราบกันดีว่าอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์มีความอุดมสมบูรณ์ของขุนเขาและป่าไม้ ทั้งยังเป็นสถานที่ตั้งของสถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ สถานีวิจัยของมูลนิธิโครงการหลวงอีกแห่งหนึ่งที่ดำเนินงานวิจัยด้านไม้คัดดอก ไม้ประดับ พืชผัก ผลไม้ และงานประมงบนพื้นที่สูง รวมทั้งถ่ายทอดผลงานวิจัยที่จะนำไปสู่การส่งเสริมอาชีพเพื่อให้เกษตรกรชาวไทยภูเขาเผ่าปกาเกอะญอและเผ่าม้งมีรายได้ พร้อมกับการพัฒนาปัจจัยพื้นฐานด้านสังคมและการอนุรักษ์ป่าไม้ ต้นน้ำลำธาร โดยมุ่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ส่งเสริมชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ชุมชนบนพื้นที่สูง รักษาสภาพแวดล้อม และเป็นแหล่งการเรียนรู้เพื่อการพัฒนาชีวิตอย่างยั่งยืน 

ที่มา : https://www.edtguide.com/

สือค้นเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2563